โดยความเร็วในการเชื่อมต่อของมาตรฐาน Wi-Fi 5 นั้นจะสามารถรองรับการส่งถ่ายข้อมูลได้ที่ความเร็วถึง 1,200 Mega Bit per sec หรือ 1.2 กิกะบิตต่อวินาที ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มีความเร็วมากกว่า Wi-Fi 5 เดิมถึง 3 เท่าที่มีความสามารถในการส่งถ่ายข้อมูลเพียง 433 Mbps เท่านั้น ซึ่งมาตรฐานการเชื่อมต่อด้วย Wi-Fi 6 นั้นจะรองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีความเร็วสูงสุดถึง 4800 Mbps.
โดยเครือข่าย Wi-Fi 6 นั้นจะรองรับแบนด์วิดธ์ที่ 20 40 80 และ 160 เมกะเฮิรตซ์โดยพวกมันนั้นจะสามารถใช้คลื่นสัญญาณความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์หรือ 5 กิ๊กกะเฮิร์ทได้และนอกจากนั้น Wi-Fi 6 นั้นยังสามารถที่จะรองรับการใช้งานอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่สามารถรองรับการใช้งาน Wi-Fi 6 ได้ด้วย โดยส่วนเสริมของระบบเครือข่ายแบบ Wi-Fi 6 นั้นที่มีชื่อเรียกว่า Wi-Fi 6 จะสามารถที่จะใช้คลื่นสัญญาณที่ความถี่ 6 กิ๊กกะเฮิร์ทเพื่อที่จะช่วยลดความแออัดของการส่งข้อมูลภายในเครือข่ายไร้สายที่มีการใช้งานคลื่นสัญญาณความถี่ 5 กิ๊กกะเฮิร์ท
ข้อดีของการใช้งาน Wi-Fi 6 นั้นได้แก่
1.ทำให้เครือข่าย Wi-Fi มีความเร็วมากยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบกับเครือข่าย Wi-Fi ในเวอร์ชั่นที่ผ่านมานั้น Wi-Fi 6 จะช่วยให้การเชื่อมต่อหรือการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์กับตัวส่งสัญญาณ Wi-Fi นั้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นโดยอัตราการรับส่งข้อมูลนั้นจะสามารถที่จะเพิ่มความเร็วได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับ Wi-Fi เวอร์ชั่นเดิมเครือข่ายแบบ Wi-Fi 6 นั้นจะมีประสิทธิภาพในการเข้ารหัสข้อมูลสูงกว่าและสามารถที่จะทำงานได้รวดเร็วกว่าในคลื่นวิทยุเดียวกันด้วยการทำงานของชิปที่มีพลังในการประมวลผลสูงสามารถที่จะทำงานได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยการใช้งานในคลื่นความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์นั้นจะมีประสิทธิภาพในการใช้งานในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางได้ดีกว่าการใช้งานคลื่นความถี่ 5 กิ๊กกะเฮิร์ท
2.ช่วยให้อุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น
โดยฟีเจอร์ใหม่อย่าง “target wake time” (TWT) นั้นจะช่วยให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับโครงข่าย Wi-Fi เวอร์ชั่น 6 นี้สามารถที่จะใช้แบตเตอรี่น้อยลงเมื่อตัว access point นั้นเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของคุณอย่างเช่นสมาร์ทโฟนอุปกรณ์นั้นจะสามารถที่จะสื่อสารกันว่าเวลาไหนควรที่จะปล่อยสัญญาณวิทยุและเวลาไหนที่ควรจะหยุดหรือรอซึ่งจะช่วยให้การบริโภคแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ของคุณนั้นลดลง3. ให้การเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพดีแม้ในพื้นที่ที่มีการใช้งานอย่างคับคั่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่างมากมายนั้นจะทำให้การรับส่งข้อมูลของเครือข่าย Wi-Fi เดิมนั้นช้าลงอย่างเห็นได้ชัดแต่สำหรับมาตรฐาน Wi-Fi 6 นั้นเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถที่จะรองรับอุปกรณ์ได้จำนวนมากยิ่งขึ้นทำให้ไม่เกิดปัญหาการแย่งแบดกันระหว่างอุปกรณ์จนทำให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่กับโครงข่าย Wi-Fi นั้นช้าไปทั้งหมดการที่จะใช้งานเครือข่าย Wi-Fi 6 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi 6 นั้นจะต้องลองรับหรือเป็นอุปกรณ์ที่ มาพร้อมกับมาตรฐาน Wi-Fi 6 ด้วยถึงจะทำให้การรับส่งนั้นสามารถทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ อย่างเช่นคุณมีเครือข่าย Wi-Fi 6 อยู่แล้วแต่อุปกรณ์สมาร์ทโฟนของคุณนั้นรองรับเพียงแค่มาตรฐาน Wi-Fi 5 คุณก็จะสามารถเชื่อมต่อได้ที่ความเร็วสูงสุดของ Wi-Fi 5 เท่านั้นหรือความเร็วสูงสุดของอุปกรณ์ของคุณที่สามารถทำได้การที่จะสามารถเชื่อมต่อกับโครงข่าย Wi-Fi 6 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสมาร์ทโฟนของคุณนั้นจำเป็นที่จะต้องมาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อกับ Wi-Fi 6 เท่านั้น
Wi-Fi 6 จะเริ่มใช้เมื่อไหร่มาตรฐาน Wi-Fi 6 นั้นในปัจจุบันนี้มีอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานที่เป็นเราเตอร์ access point สำหรับปล่อยสัญญาณ Wi-Fi 6 ออกมาแล้วแต่ยังมีราคาที่แพงอยู่มากซึ่งต้องรออีกสักระยะหนึ่งจึงจะมีอุปกรณ์ที่รองรับ Wi-Fi 6 ออกมาขายอย่างแพร่หลายและช่วงนั้นก็จะทำให้ราคาของอุปกรณ์เครือข่าย Wi-Fi 6 นั้นมีราคาที่ลดลงจนสามารถที่จะซื้อมาใช้งานภายในบ้านได้โดย router Wi-Fi 6 ที่มีวางขายในปัจจุบันนี้ได้แก่ NETGEAR RAX80 Nighthawk AX8 8-Stream AX6000 Wi-Fi Router ซึ่งมีราคาสูงถึง 17,500.00 บาท โดยมีราคาเทียบได้กับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงบางรุ่นกันเลยทีเดียว
ดังนั้นในปัจจุบันนี้ถ้าคุณไม่จำเป็นหรือไม่ได้มีเงินเหลือใช้มากมายอะไรนักการใช้มาตรฐาน Wi-Fi 5 นั้นก็ยังโอเคอยู่คุณจำเป็นที่จะต้องรออีกสักพักหนึ่งรอให้อุปกรณ์นั้นมีออกมาเยอะๆแล้วทางผู้ผลิตก็จะทำการลดราคาสินค้าลงมาเรื่อยๆจนอยู่ในระดับราคาที่สามารถที่จะจับต้องได้
ปัจจุบันนี้มีอุปกรณ์ใดบ้างที่รองรับการใช้งาน Wi-Fi 6 แล้ว
อุปกรณ์มือถือที่รองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 นั้นในปัจจุบันนี้มีมากมายหลายรุ่นคุณสามารถที่จะเช็คว่าสมาร์ทโฟนของคุณนั้นรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 ได้หรือยังที่ลิงค์นี้ ซึ่งจะเป็นลิสรายชื่อของสมาร์ทโฟนรุ่นที่มาพร้อมกับความสามารถในการรองรับการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi 6 โดยตัวอย่างของอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 นั้นได้แก่iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10+
Samsung Galaxy S10, Samsung Galaxy S10 Plus และ Samsung Galaxy S10 5G
Samsung Galaxy Fold
OPPO Reno 3
ซึ่งอุปกรณ์ที่อยู่ด้านบนนั้นจะเป็นอุปกรณ์หรือมือถือระดับเรือธงทั้งนั้นโดยถ้าคุณใช้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้วก็แสดงว่าพวกมันนั้นรองรับการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi 6 เรียบร้อยแล้ว ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับ Wi-Fi 6 router คุณสามารถดูได้เพิ่มเติมได้ที่นี่