ปัญหาหลักจริงๆน่าจะอยู่ที่ซอฟท์แวร์เป็นหลักคือตัววินโดวส์นั่นแหละคือตัวปัญหาเพราะปัญหาการใช้ดิสก์นั่นแม้ว่าจะเปลี่ยนไปใช้ฮาร์ดดิสก์ที่เป็นแบบ SSD ที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านเขียนข้อมูลก็สามารถเจอปัญหาดังกล่าวได้ไม่แตกต่างกับฮาร์ดดิสก์แบบธรรมดาเลย ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องซื้อหรือเปลี่ยนฮารดดิสก์ลูกใหม่หรอก ยกเว้นว่าคุณต้องการเพิ่มความเร็วคอมพิวเตอร์ขึ้นอีกนิดหน่อย
วิธีแก้ปัญหาดังกล่าวนั้นมีเยอะมากบางวิธีก็แก้ได้สำหรับบางกรณีแต่ก็ไม่ได้สำหรับบางสาเหตุซึ่งการวิเคราะห์ปัญหาก่อนการแก้ปัญหาว่ามีเซอร์วิสตัวไหนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่จะได้ช่วยให้คุณเลือกวิธีการรับมือได้ถูกต้องและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการดู Task Manager
ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวจะแสดงสถานะว่ามีตัวเซอร์วิสใดหรือโปรแกรมใดที่กำลังใช้งานดิสก์คอมพิวเตอร์ของคุณอยู่อย่างหนักหน่วง หลังจากตรวจสอบแล้วก็เริ่มเลือกวิธีจัดการที่เหมาะสมตามคำแนะนำด้านล่างที่ผมได้รวบรวมเอาวิธีแก้ปัญหาต่างๆทั่วทั้งโลกมาไว้ให้คุณที่นี่ทั้งหมดแล้วไม่ต้องไปหาจาก Pantip หรือที่อื่นอีกแล้ว เลื่อนลงไปดูด้านล่างได้เลย และแน่นอนถึงแม้ว่าเราจะแก้ปัญหาครั้งนี้แล้วแต่มันก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นมาอีกได้ ดังนั้นผมแนะนำให้กดปักหมุดหน้านี้ไว้เลย จะได้ไม่ต้องไปหาใหม่อีกรอบเพื่อความสะดวกของคุณเอง
อย่างไรก็ตามการใช้บางวิธีอาจจะไม่ได้ผลผมขอแนะนำให้ลองใช้วิธีอื่นๆด้วยซึ่งอาจจะสามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้นโปรดลองทำตามหลายๆวิธี ในกรณีที่วิธีที่ทำไปแล้วไม่ได้ผล
วิธีการแก้ไขปัญหา 100% Disk Usage บน Windows 10
1. Run Disk Check
ปัญหานี้มักจะเกิดจากมีการพบปัญหากับบางส่วนของพื้นที่บนฮาร์ดิสก์ดังนั้นการใช้เครื่องมือในการตรวจสอบดิสก์ ที่มีมาให้พร้อมวินโดวส์อาจจะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการทำตามขั้นตอนดังนี้
1.เปิด Windows Explorer ขึ้นมาไปที่ This PC
2.ไปที่ไดร์ฟ C: แล้วคลิกขวาที่ไอค่อนไดร์ฟ C: แล้วเลือก Properties
3.ไปที่แท็บ Tools และเลือก Error Checking แล้วกดปุ่ม Check เพื่อทำการตรวจสอบการทำงานชองดิสก์
รอจนกว่าวินโดวส์ทำการสแกนไดร์ฟจนเสร็จแล้วจะทำการรีบูต 1ครั้งซึ่งหลังจากวินโดวส์บู๊ตกลับขึ้นมากแล้วให้คุณทำการตรวจสอบ Task Manager ดูว่า disk usage ลดลงหรือยังหากยังไม่ลดลงให้ลองวิธีอื่นๆถัดไป
2.ตรวจสอบ โปรแกรม Anti-Virus ว่าทำงานอยู่หรือเปล่า
บางครั้งการที่ดิสก์มีการใช้งาน 100 % นั้นอาจจะเกิดจากโปรแกรม Anti-Virus ของคุณกำลังทำงานอยู่ก็ได้ ซึ่งอาจจะทำการสแกนไวรัสอยู่เบื้องหลังจนทำให้เครื่องช้าลงไปมากซึ่งอาจจะเป็นตัวปัญหาหลักโดยที่เราไม่คาดคิด ดังนั้นให้ดูก่อนว่าโปรแกรมแอนติไวรัสกำลังทำงานอยู่หรือไม่ ด้วยการลองปิดการทำงานของตัวสแกนไวรัสดังกล่าวชั่วคราวก่อน ถ้าการใช้ดิสก์ กลับมาเป็นปกตินั่นแสดงว่าเกิดจาก โปรแกรมสแกนไวรัสกำลังทำงานอยู่เบื้องหลังนั่นเองหรือว่าคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นได้ติดไวรัส หรือ มัลแวร์ ซึ่งไวรัสเหล่านี้อาจจะเป็นสาเหตุให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานหนักจนผิดปกติได้เช่นกันโดยซอฟท์แวร์ป้องกันไวรัสที่มากับวินโดวส์ 10 นั้นก็สามารถทำงานได้ดีมากอยู่แล้วดังนั้นการเปิดใช้งานโปรแกรมดังกล่าวนั้นก็จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณจาก มัลแวร์ตัวร้าย ซึ่งมักจะก่อความรำคาญให้กับคุณ และเราหวังว่าวิธีนี้จะสามารถแก้ปัญหา 100% Disk Usage บน Windows 10 ของคุณได้แต่ถ้าวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล ผมขอให้คุณลองใช้วิธีถัดไป
3.การปิด Windows Search
ผมมักพบว่าปัญหา 100% Disk Usage บน Windows 10 นี้ 30% มีสาเหตุมาจากบั๊กภายในตัววินโดวส์เองที่มักทำการค้นหาไฟล์แบบ “search loop” ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากประมาณ 30% ของการพบปัญหาจะสามารถแก้ไขด้วยการปิดฟีเจอร์ Windows Search นี้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะเกิดจากการที่วินโดวส์ทำการค้นหาไฟล์ในเครื่องซ้ำวนไปวนมา จนไม่มีที่สิ้นสุด จนทำให้เกิดการใช้งานดิสก์ที่มากจนผิดปกติดังกล่าวสำหรับวิธีการแก้ปัญหานั้นก็คือการปิดฟีเจอร์ฟีเจอร์ดังกล่าวซะด้วยการปิดฟีเจอร์นี้แบบถาวรไปเลยด้วยการ
เปิดใช้งานการรันโปรแกรมด้วยการกดปุ่ม Windows key +R หรือคลิกขวาที่ปุ่มสตาร์ทแล้วไปที่คำสั่ง Run เพื่อทำการรันเครื่องมือขึ้นมา แล้วพิมพ์คำสั่ง “services.msc” ลงในช่องดังกล่าวแล้วกดปุ่ม OK
แล้วจะมีหน้าต่างเปิดขึ้นมา ให้เลื่อนลงไปที่หัวข้อ “”Windows Search” แล้วให้ทำการคลิกขวา เลือกคำสั่ง Property เพื่อทำการตั้งค่า ในช่อง Startup type ให้ทำการเลือกเป็น Disable เพื่อทำการปิดฟีเจอร์นี้อย่างถาวร แล้วให้ทำการ รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ดู 1 รอบถ้าได้ผลคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ปกติ ไม่มีการใช้งานดิสก์ 100 % อีกแล้วแต่ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผลคอมพิวเตอร์ของคุณยังใช้ดิสก์ผิดปกติอยู่ผมขอแนะนำให้คุณใช้วิธีถัดไป
4. การปิดการใช้งาน Superfetch Service
Superfetch เป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยมากที่สุดในสาเหตุของการทำให้วินโดวส์ใช้งานฮาร์ดดิสก์ 100 % ประมาณ 75% ของการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้จะสำเร็จโดยส่วนมากในการทำจะลดการใช้ดิสก์ของวินโดวส์ โดยวิธีแก้ปัญหาก็คือการปิดการใช้งานฟีเจอร์นี้ไปถาวรเลยด้วยการทำตามขั้นตอนดังนี้เปิดใช้งานการรันโปรแกรมด้วยการกดปุ่ม Windows key +R หรือคลิกขวาที่ปุ่มสตาร์ทแล้วไปที่คำสั่ง Run เพื่อทำการรันเครื่องมือขึ้นมา แล้วพิมพ์คำสั่ง “services.msc” ลงในช่องดังกล่าวแล้วกดปุ่ม OK
แล้วจะมีหน้าต่างเปิดขึ้นมา ให้เลื่อนลงไปที่หัวข้อ “Superfetch” แล้วให้ทำการคลิกขวา เลือกคำสั่ง Property เพื่อทำการตั้งค่า ในช่อง Startup type ให้ทำการเลือกเป็น Disable เพื่อทำการปิดฟีเจอร์นี้อย่างถาวร แล้วให้ทำการ รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ดู 1 รอบถ้าได้ผลคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ปกติ ไม่มีการใช้งานดิสก์ 100 % อีกแล้วแต่ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผลคอมพิวเตอร์ของคุณยังใช้ดิสก์ผิดปกติอยู่ผมขอแนะนำให้คุณใช้วิธีถัดไป
5. Adobe Flash ก็อาจจะเป็นสาเหตุการใช้ดิสก์ 100% ได้เช่นกัน
โดยตัว Flash นั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่ซึ่งทาง Adobe พยายามที่จะปิดการใช้งานโปรแกรมดังกล่าวให้ได้ภายในปี 2020 การใช้งานดิสก์นั้นมักจะพบปัญหาจากการใช้งานปลั๊กอินของแฟลชกับโปรแกรมท่องเว็บอย่างเช่นใน Google Chrome การปิดการแสดงผลเว็บไซต์ที่มีการใช้งาน ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่มีใครใช้โปรแกรมนี้ในเว็บไซต์กันแล้ว ดังนั้นวิธีนี้ข้ามไปได้เลย6.ดูที่โปรแกรมท่องเว็บ
โดยเฉพาะโปรแกรมท่องเว็บอย่างกูเกิลโครมที่ขึ้นชื่อในเรื่องการกินทรัพยากรของระบบมาก ทั้งแรมและ ฮาร์ดดิสก์การที่จะไปเลือกใช้โปรแกรมในการท่องเว็บตัวอื่นอย่าง Mozilla FireFox นั้นก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน โดยการใช้งานโปรแกรมของกูเกิลนอกาจกปัญหาการใช้งานระบบที่หนักหน่วงแล้ว อย่างอื่นดีหมด และให้ระวังในเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วยเพราะ Google ใช้ Google Chrome ในการเก็บข้อมูลจากคุณอยู่7. Skype ใช้งานทรัพยากรเครื่องมาก
ซึ่งหลังจากค้นหาก็พบว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่สามารถทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีการใช้ดิสก์เกิน 100% นั่นก็คือ การใช้งานโปรแกรม Skype ผมแนะนำให้ไปใช้โปรแกรมตัวอื่นทดแทน เพราะว่ามีเซอร์วิสอื่นๆในปัจจุบันนี้ที่สามารถทำได้ดีกว่าและมีปัญหาน้อยกว่า ปัจจุบันนี้ผมไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้โปรแกรมดังกล่าวในการคุยวีดีโอแชทอีกแล้ว โดยผมแนะนำให้ลบโปรแกรมดังกล่าวทิ้งไปได้เลย ซึ่งจะช่วยให้คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานเร็วขึ้นอีกด้วย8. การปิด Diagnostic Tracking บน Windows 10
ซึ่งก็เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากเช่นกัน ซึ่งมีรายงานมากมายว่าเจ้าเครื่องมือเจ้าปัญหานี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้วินโดวส์ของคุณช้า การปิดเซอร์วิสนี้บนคอมพิวเตอร์ของคุณ นั้นจะสามารถช่วยแก้ปัญหา การใช้งานฮาร์ดดิสก์ 100 % ได้เช่นกันด้วยการทำตามขั้นตอนที่ผมแนะนำดังนี้
sc stop "DiagTrack"
แล้วทำการรีสตาร์ทเครื่อง 1 ครั้งถ้าคุณสามารถใช้งานได้ปกติแสดงว่าวิธีนี้ได้ผล แต่ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณยังทำงานหนักอยู่แนะนะให้ใช้วิธีต่อไปในการแก้ปัญหา
9. Windows Update ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วินโดวส์ใช้งานดิสก์ 100 %
โดยสาเหตุนี้คุณไม่ต้องทำอะไรแค่รอให้วินโดวส์อัปเดทให้เรียบร้อยปัญหาดังกล่าวก็จะหายไปเองจนทำให้วินโดวส์ของคุณสามารถใช้งานได้อย่างปกติ หรือถ้ามันเกิดขึ้นไม่หายคุณสามารถทำการยกเลิกการอัปเดทดังกล่าวไว้ก่อนเป็นอย่างไรบ้างสำหรับทิปดังกล่าวทั้ง 9 วิธีการแก้ไขปัญหา 100% Disk Usage บน Windows 10
หากคุณมีคำแนะนำที่มีประโยชน์อื่นๆแนะนำคุณสามารถแนะนำเรามาได้ที่หน้าแฟนเพจของเราได้เลย