รถจักรยานไฟฟ้านั้นทำงานอย่างไร
จักรยานไฟฟ้านั้นก็เหมือนกับจักรยานปกตินี่แหละ เพียงแค่เราเพิ่มเอามอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยลดแรงปั่น และอำนวยความสะดวกให้กับเราเท่านั้นเอง โดยการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าจะใช้ในการส่งกำลังจาก มอเตอร์ผ่านโซ่ไฟฟ้าไปขับยังล้อจักรยาน ในกรณีที่เป็นระบบขับกลาง หรือเป็นการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ที่อยู่ที่ล้อ ไปสู่พื้นถนนเพื่อช่วยเบาแรงปั่นของเรา ในกรณีที่เป็นระบบขับเคลื่อนแบบ ฮับมอเตอร์
โดยจักรยาน ไฟฟ้าจะประกอบไปด้วยส่วนประกอบเพียง 3 ส่วนเท่านั้น ได้แก่
1. มอเตอร์
2. แบตเตอรี่
3. ระบบส่งกำลัง
มอเตอร์ สำหรับจักรยานไฟฟ้า
โดยมอเตอร์สำหรับใช้ในการขับเคลื่อนจักรยานไฟฟ้านั้นมีหลายแบบ และหลายชนิด แรงดัน ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานโดยจะมีระดับแรงดันไฟตั้งแต่ 250,350,500,1000,1500,2000,3000 วัตต์ เหมือนกับแรงม้าในรถยนต์ โดยมอเตอร์ 1 แรงม้า ต้องใช้กำลังไฟในการขับเคลื่อน 746 watts หรือ 1 แรงม้า = 746 watts โดยการเลือกใช้มอเตอร์นั้นมีหลายปัจจัยที่จะใช้ในการพิจารณาว่าควรใช้เท่าไร เช่นในกรณีที่ต้องการความเร็ว ควรจะใช้มอเตอร์ 1000 วัตต์ขึ้นไปซึ่งอาจจะทำให้จักรยานไฟฟ้าวิ่งได้ที่ความเร็วประมาณ 45-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในกรณีที่ใช้ ฮับมอเตอร์ ที่แรงดันไฟฟ้า DC 48 โวลต์ โดยมอเตอร์ที่ใช้ในจักรยานไฟฟ้าในปัจจุบันที่นิยมใช้มีอยู่ 2 แบบได้แก่
1. มอเตอร์ขับกลาง Mid Drive ซึ่งเป็นระบบส่งกำลังเหมือนกับของจักรยานยนต์ คือจะมีการส่งกำลังจากมอเตอร์ไปยังล้อผ่านทาง โซ่ หรือสายพาน เป็นหลัก โดยข้อดีของการใช้ระบบขับเคลื่อนแบบขับกลางนั่นก็คือ สามารถใช้อัตราทดที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถใช้งานระบบขับเคลื่อนให้ได้ประสิทธิภาพตามต้องการ โดยในระบบขับกลางในจักรยานไฟฟ้านั้นโดยส่วนมาก จะสามารถใช้ชุดเกียร์จักรยานที่มีอยู่แล้วช่วยในการปรับอัตราทดในระดับเกียร์ต่างๆได้ จึงทำให้สามารถนำไปใช้ได้เหมาะสมกับทุกพื้นที่ เช่นพื้นที่ที่มีความลาดชันมากๆ เราก็สามารถใช้เฟืองเกียร์จักรยานเพื่อช่วยเพิ่มอัตราทด ทำให้สามารถขึ้นทางชันได้สบาย หรือกรณีที่ต้องการความเร็ว เราก็สามารถลดอัตราทดลง ทำให้จักรยานไฟฟ้าของเราสามารถทำความเร็วเพิ่มได้อีก แต่ระบบขับกลางก็มีข้อเสียเช่นกัน โดยระบบขับกลางนั้นจะมีราคาแพงกว่าระบบอื่นถึง เท่าตัว และต้องเปลี่ยนโซ่ และเพืองที่ใช้ในการขับเคลื่อนมากกว่า ระบบอื่นถึงเท่าตัวเช่นเดียวกัน
2. ฮับมอเตอร์ Hub Motor เป็นการนำเอามอเตอร์ไปไว้ที่ดุมล้อเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนจักรยานไฟฟ้าเลย โดยภายในฮับมอเตอร์ ใช้ในการติดตั้งได้ทั้ง ล้อหน้า หรือล้อหลัง จะเป็นมีฮับมอเตอร์แบบ ขับตรง และแบบ มีเกียร์ภายใน โดยมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ในแต่ละชนิด โดยข้อดีข้องฮับมอเตอร์ก็คือ ติดตั้งได้ง่าย เพียงเอาล้อฮับมอเตอร์มาติดตั้งแทนล้อเดิมของจักระยานไฟฟ้าได้เลยทันที ไม่เปลืองชุดขับเคลื่อน เพราะหมายถึง โซ่ และ เฟือง เพราะมีการใช้งานน้อยเพราะไม่มีการส่งกำลังจากมอเตอร์ แต่ข้อเสียของฮับมอเตอร์ก็คือไม่สามารถเปลี่ยนอัตราทดได้ วิ่งได้ความเร็วสูงสุดเท่าไรก็ได้เท่านั้น ไม่สามารถเพิ่มได้ ถ้าไม่ทำการเพิ่มโวลต์ไฟที่ใช้ในการขับเคลื่อน
แบตเตอรี่สำหรับจักรยานไฟฟ้า
แบตเตอรี่ เป็นแหล่งพลังงานหลักให้มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนจักรยาน ดังนั้นการเลือกชนิดและความจุของแบตเตอรี่จึงมีความจำเป็นสำหรับ จักรยานไฟฟ้าคันโปรดของคุณ โดยในปัจจุบันนี้มีแบตเตอรี่ที่นิยมใช้ในการขับเคลื่อนจักรยานไฟฟ้าอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
แบตเตอรี่สำหรับจักรยานไฟฟ้าแบบ ตะกั่วกรด SEALED LEAD ACID (SLA)
เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ในจักรยานไฟฟ้าราคาถูกในปัจจุบันนี้ โดยข้อดีของแบตเตอรี่แบบ ตะกั่วกรดนี้คือราคาที่ถูกกว่าแบบอื่นแต่ถูกกว่าไม่มาก และหาซื้อได้ง่าย สามารถเปลี่ยนรายลูกได้ง่ายกว่า แต่ข้อเสียนั้นมีค่อนข้างเยอะได้แก่ แบตเตอรี่แบบนี้มีอายุใช้งาน สั้นมาก สูงสุดโดยที่แบตเตอรี่ไม่บวมไม่เสียไม่น่าเกิน 6 เดือนต้องเปลี่ยนแล้ว และมีน้ำหนักเยอะมากเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆในความจุเท่ากัน จายกระแสได้สั้นทำให้ระยะทางในการใช้จักรยานไฟฟ้าน้อย และรอบการชาร์จน้อยมากเพียง 300-500 รอบเท่านั้นก็หมดอายุแล้ว ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ง่านแบบเริ่มต้นเพราะราคาที่ถูกแต่ก็จะจุกจิกมาก บางคนที่เคยใช้อาจจะเข็ดขยาดกับการใช้งานจักรยานไฟฟ้าไปเลย เพราะความไม่สะดวกหลายๆอย่าง
แบตเตอรี่จักรยานไฟฟ้าแบบ ลิเที่ยม LITHIUM (ION/POLYMER/MANGANESE/และอื่นๆ.)
โดยแบตเตอรี่สำหรับจักยานไฟฟ้าแบบนี้กำลังเริ่มเป็นที่นิยมมากในปัจจุบันเพราะ ประสิทธิภาพในการจ่ายไฟให้กับจักรยานไฟฟ้าได้ดีกว่าแบบตะกั่วกรด โดยสามารถจ่ายไฟได้นานกว่า กระแสคงที่กว่า น้ำหนักเบากว่าเกือบครึ่ง ในขนาดความจุของกระแสไฟที่เท่ากัน รอบการชาร์ตมากกว่า ซึ่งแบตเตอรี่แบบ ลิเทียมนั้นสามารถชาร์จได้ถึง 800-1000 รอบเป็นอย่างน้อย โดยขึ้นอยู่กับชนิดด้วย และให้ระยะทางที่มากขึ้นกว่าแบตเตอรี่แบบอื่นมากกว่าถึง เท่าตัวและอายุการใช้งานนานมากถ้ามีการดูแลรักษาดีๆอาจใช้งานได้ถึง 5 ปีด้วยซ้ำ แต่ข้อเสียคือราคาที่แพง กว่าแบตเตอรี่แบบตะกั่วกรดถึง 1 เท่าตัวแต่ในปัจจุบันนี้ราคาเริ่มลดลงมากแล้วเนื่องจากความนิยมซึ่งทำให้ราคาลดลงมากและมีราคาที่ถูกลง สามารถหาชื้อแบตเตอรี่ลิเที่ยมสำหรับ จักรยานไฟฟ้าได้ทั่วไปในท้องตลาด ที่ความจุ 48 โวลต์ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5000-8000 บาทต่อชุด
เราะเห็นว่าแบตเตอรี่แบบ ลิเทียมนี้ได้มีการนำไปใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นที่นิยมในท้องตลาดอย่าง เทสลาร์ รุ่นต่างๆก็มีการใช้แบตเตอรี่แบบ ลิเทียมไอออนในการขับเคลื่อนซึ่งอายุการใช้งานนั้นก็มากถึง 5 ปีเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นหากท่านกำลังคิดเริ่มที่จะหันมาใช้จักรยานไฟฟ้าในการเดินทางนั้นแนะนำให้เลือกซื้อรุ่นที่เป็นแบตเตอรี่แบบลิเทียม ก่อนหรือให้ทำการอัปเกรดไปใช้แบตเตอรี่แบบลิเที่ยมเลยจะเหมาะสมที่สุด เพราะไม่ต้องไปจุกจิกเสียอารมณ์ทีหลัง
กล่องควบคุมสำหรับจักรยานไฟฟ้า
กล่องควบคุมสำหรับจักรยานไฟฟ้า นี่ก็มีความสำคัญเช่นกันเพราะประสิทธิภาพต่างๆของจักรยานไฟฟ้านั้นจะดีเลว กล่องควบคุมก็มีส่วนควรเลือกกล่องที่มีความทนทาน และจัดการกับกระแสไฟได้อย่างเหมาะสมและเหมาะกับมอเตอร์ที่เราใช้งานอยู่เช่น มอเตอร์ขนาด 500 วัตต์ควรใช้ กล่องควบคุมมอเตอร์อย่างน้อย 500 วัตต์ หรือมากกว่าในการควยคุมจะทำให้ใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีการใช้กล่องควบคุมที่มีวัตต์ต่ำกว่ามอเตอร์อาจจะทำให้เกิดปัญหากล่องควบคุมจักรยานไฟฟ้าไหม้ หรือทำให้มอเตอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพได้
โดยกล่องควบคุมสำหรับจักรยานไฟฟ้านั้นก็มีหลายรุ่น หลายออปชั่นให้เลือกใช้งาน โดยกล่องควบคุมมอเตอร์บางรุ่นนั้นก็จะมีจอ แอลซีดี มาให้ด้วยซึ่งใช้ในการแสดงผลค่าต่างๆให้เราได้รู้เช่น ปริมาณแบเตอรี่ ความเร็ว ระยะทาง หรือแม้กระทั้งการตั้งค่าต่างๆได้ทันทีผ่านหน้าจอแอลซีดีของกล่องควบคุม หรือกล่องบางตัวอาจจะรองรับ ระบบ cruise control ด้วยเพื่อความสะดวกของผู้ใช้งาน และ กล่องควบคุมสำหรับมอเตอร์จักรยานในบางรุ่นก็จะรองรับการ ชาร์จกลับ โดยจะทำการชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่ได้ด้วย ซึ่งเราเรียกฟังก์ชั่นนี้ว่าระบบ รีเจน regenerative braking system เหมือนที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า โดยเจ้า ระบบ regenerative braking system คือ ระบบที่ทำการนำกระแสไฟฟ้าที่ได้จากการใช้แรงฉุดในการเบรคปั่นเอากระแสไฟฟ้าเข้ากลับไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อช่วยเพิ่มระยะทางได้นิดหน่อยนั่นเอง
สิ่งที่ควรคำนึงถึงอีกอย่างเกี่ยวกับการเลือกกล่องควบคุมมอเตอร์ สำหรับจักรยานไฟฟ้านั่นก็คือ ระบบช่วยปั่น หรือ Pedal Assist คือระบบที่จะช่วยผ่อนแรงในการปันของเรา โดยการรับข้อมูลจากกล่องที่ทำการเชื่อมต่อจาก เซ็นเซอร์ที่จานปั่นของจักรยานไฟฟ้า หรือ Pedal Assist (PAS) Sensor โดยจะทำงานเมื่อเราปั่นเท่านั้นถ้าเราหยุดปั่นมอเตอร์ก็หยุดทำงาน โดยกล่องควบคุมที่ดีนั้น จะสามารถทำการตั้งค่าการช่วยปั่นได้มากกว่า 1 ระดับ ซึ่งจะช่วยผ่อนแรงการปั่นของเราตามที่เราควบคุมจากจอ แอลซีดี โดยจะใช้ในกรณีที่ขึ้นทางลาดชันก็ตั้งค่าให้ระบบช่วยปั่นทำงานมากขึ้น เพื่อช่วยลดแรงของเราลง ซึ่งจะทำให้เราสามารถปั่นจักรยานได้สนุก และ สบายมากขึ้นนั่นเอง
การเลือกซื้อจักรยานไฟฟ้า
ถ้าคุณอ่านมาจนถึงหัวข้อนี้ยินดีด้วย เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าคุณนั้นสนใจในตัวจักยานไฟฟ้าจริงๆ และมีแผนที่จะซื้อจักรยานไฟฟ้าไว้ใช้ในวันข้างหน้าแน่นอน โดยประโยชน์มากมายจากการใช้จักรยานไฟฟ้านั้นน่าจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คนเริ่มให้ความสนใจในจักรยานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปัจจุบันนี้ เพราะหลายปัจจัยเช่น ราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับ รถจักรยานยนต์ ใช้งานสะดวก ไม่มีเสียงรบกวน ประหยัดเงินมากกว่ารถมอเตอร์ไซค์ มีการดูแลรักษาน้อย ดีต่อสุขภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งด้วยข้อดีทั้งหมดที่ว่ามานั้น ทำให้ในปัจจุบันนี้มีการใช้งานจักรยานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากโดยในปีที่ผ่านมามียอดขายจักยานไฟฟ้าถึง 200 ล้านคันเลยทีเดียว
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อคุณต้องการซื้อจักรยานไฟฟ้าสำหรับใช้งานได้แก่
1. การประเมินความคุ้มค่า ว่าเราจำเป็นต้องใช้งานจักรยานไฟฟ้าจริงไหม หรือใช้ในตอนไหน ใช้ไปทำอะไร เพราะว่าหากซื้อมาแล้วไม่มีเวลาใช้งานก็ไม่คุ้มค่าทาง เศรษฐกิจ ไม่แนะนำให้ซื้อ
2. สภาพร่างกาย ต้องดูว่าคุณสามารถปั่นจักยานหรือทรงตัวบนจักยานได้หรือไม่ โดยการซื้อจักรยานสำหรับผู้สูงอายุที่ปั่นจักรยานไม่ไหวแล้วนั้นก็สามารถทำได้ หรือน้ำหนักของคุณเกินที่จักรยานไฟฟ้าจะรับได้หรือไม่
3. สภาพพื้นที่ที่นำจักรยานไฟฟ้าไปใช้งาน ว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะบางคนที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีเนินเยอะ ทางลาดชันที่มากๆ อาจจะไม่สะดวกที่จะใช้งานจักรยานไฟฟ้า บางรุ่น แต่อาจจะเหมาะกับจักรยานไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ที่เหมาะสมมากกว่า ซึ่งข้อนี้ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน โดยในพื้นที่ลักษณะดังกล่าวนั้นควรที่จะใช้รุ่นที่มีกำลังมอเตอร์สูงหรือสามารถ เปลี่ยนอัตราทดได้ จะเหมาะสมที่สุด หรืในพื้นที่ที่เป็นถนนทรายลูกรัง ควรที่จะใช้จักรยานไฟฟ้า ล้อโต หรือในกลุ่ม Fat Bike จะทำให้ใช้งานได้เหมาะสมกับพื้นที่มากกว่าเป็นต้น
4. ระยะทาง ในส่วนของระยะทางนั้นต้องดูว่าเราจะใช้จักรยานไฟฟ้าเดินทางครั้งละเท่าไรด้วย โดยหากใช้ระยะทางไม่เยอะมาก 5- 10 กิโลเมตรนั้นอาจจะใช้แบตเตอรี่ความจุปานกลางก็สามารถไปกลับได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากต้องใช้จักรยานไฟฟ้าเดินทางมากกว่านั้นควรมีการเพิ่มความจุแบตเตอรี่ เข้าไปอีก
5. วัตถุประสงค์ของการใช้จักรยานไฟฟ้า ว่าจะใช้ในการเดินทางไปทำงาน ท่องเที่ยว หรือทั้งคู่ ก็จะช่วยเป็นตัวเลือกในการพิจารณาจักรยานไฟฟ้าที่เหมาะสมให้กับคุณ
6. ราคาของอุปกรณ์ต่างๆ และอะไหล่สำหรับ จักรยานไฟฟ้าในกรณีที่เกิดการชำรุดขึ้นมาว่าสามารถหาเปลี่ยนได้หรือไม่
ชนิดของจักยานไฟฟ้าในท้องตลาด
จักรยานไฟฟ้า จีน เป็น จักรยานไฟฟ้าในท้องตลาดในปัจจุบันมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่ จักรยานไฟฟ้าแบบสำเร็จรูป และจักรยานไฟฟ้าแบบประกอบเอง โดยคุณนั้นสามารถเลือกได้ว่าแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวคุณ ในกรณีที่ต้องการแบบสำเร็จรูปซื้อมาแล้วปั่นได้เลยเพราะ ไม่มีความรู้ในเชิงช่างมากนักก็เหมาะสม กับ แบบที่สองที่ที่ในกรณีที่คุณมีจักรยานธรรมดาอยู่แล้ว แต่ต้องการดัดแปลงจักรยานคันเก่าที่คุณมีให้เป็นจักรยานไฟฟ้าก็สามารถทำได้ด้วยการ ซื้อ ชุดประกอบจักรยานไฟฟ้า ราคาถูก มาติดตั้งเอง โดยมีข้อดีคือ คุณสามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพได้เอง และประหยัดลงมากกว่าซื้อแบบสำเร็จรูปมากกว่าครึ่ง โดยในปัจจุบันนี้มีผู้ขายชุดแปลงจักรยานไฟฟ้ามากมาย โดยจะมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการดัดแปลงจักรยานไฟฟ้า ครบทุกชิ้น และราคาที่ไม่แพงหลายเจ้าในประเทศ ซึ่งราคาเริ่มต้นเป็นชุดที่สามารถนำไปใช้งานได้เลย จะอยู่ที่ 7500 บาทก็สามารถซื้อได้ โดยราคาดังกล่าวไม่รวมค่าแรงและอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆในการติดตั้ง ถ้าหากคุณสามารถทำได้เองราคาก็จะถูกลงไปได้อีก
สรุป การใช้งานจักรยานไฟฟ้านั้นได้ทั้งความประหยัด และ ดีต่อสุขภาพ แถมยังเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมอีกด้วยดังนั้นขอบคุณทุกท่านที่อ่านบทความนี้จนจบและคิดที่จะหาจักรยานไฟฟ้ามาใช้งานเพื่อช่วยโลกของเราให้น่าอยู่
จักรยานไฟฟ้าญี่ปุ่นมือสอง น่าใช้งานไหม
จักรยานไฟฟ้ามือสองที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นจักรยานที่อยู่ในสภาพดี ภายนอกแต่ระบบไฟฟ้าภายในนั้นต้องดูให้ดีว่ายังสามารถใช้งานได้อย่างปกติหรือไม่ เพราะว่าระบบไฟฟ้าเป็นระบบที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและมีปัญหากับความชื้นมาก หากเคยตากแดแตากฝนมานานอาจทำให้อุปกรณ์บางส่วนมีปัญหาในภายหลังได้
แบตเตอรี่ก็เช่นกันที่หาคุณคิดจะซื้อจักรยานมือสองจากญี่ปุ่นมาใช้งาน เพราะแบตเตอรี่อาจจะเสื่อมคุณภาพบางส่วนแล้ว และการที่จะนำมาใช้งานให้ได้เต็มประสิทธิภาพนั้นคงยาก จะต้องมาทำการซื้อแบตเตอรี่ใหม่ใส่ ซึ่งจักรยานไฟฟ้ามือสอง จากญี่ปุ่นบางรุ่น ไม่สามารถใช้แบตเตอรี่อย่างอื่นได้ นอกจากแบตเตอรี่จากโรงงานผู้ผลิตเท่านั้น และราคานำเข้าค่อนข้างแพงดังนั้นควรพิจารณาให้ดีๆ ว่าคุ้มค่าหรือไม่ อีกทั้งยังรวมในเรื่องของอะหลั่ยสึกหรอต่างๆของจักรยานไฟฟ้านั้นก็ เป็นอีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงเช่นกันเพราะถ้าเกิดเสียมา อาจจะหาอะหลั่ยเปลี่ยนไม่ได้ กลายเป็นเศษขยะก็ได้